กำไรจากการขายรถยนต์จีน 30 ล้านคันไม่เท่ากับการขายรถยนต์โตโยต้า 9 ล้านคัน
สื่อจีนรายงาน กำไรจากการขายรถยนต์ 30 ล้านคันในจีน ไม่มากเท่ากับ กำไรจากการขายรถยนต์ 9 ล้านคันของโตโยต้า” ประเด็นนี้ได้จุดประกายให้เกิดการถกเถียงอย่างกว้างขวางในจีน ผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์ว่า
กุญแจสำคัญที่ทำให้โตโยต้าก้าวขึ้นเป็นผู้ผลิตรถยนต์ที่ “ทำกำไรได้มากที่สุดในโลก” อยู่ที่ความสามารถในการวิจัยและพัฒนาทางเทคนิคที่ยอดเยี่ยม รูปแบบการจัดการการผลิตที่พิถีพิถัน และรถยนต์หลากหลายรุ่น
หวง ฉี ฝาน รองประธานบริหารคณะกรรมการวิชาการสมาคมวิจัยกลยุทธ์การพัฒนาและนวัตกรรมแห่งชาติจีนระบุว่า อุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ ของจีนควรเป็นอุตสาหกรรมที่มีประสิทธิภาพสูงในเชิงทฤษฎี แต่อัตรากำไรจากมูลค่าผลผลิต ณ เดือนมิถุนายนปีนี้อยู่ที่เพียง 5% เท่านั้นกำไรจาก ยอดขายรถยนต์ 30 ล้านคัน ของจีน ยังไม่มากเท่ากับกำไรจาก ยอดขายรถยนต์ 9 ล้านคันของโตโยต้าจากญี่ปุ่น
จากสถิติของ DearAuto พบว่า หากพิจารณาจากกำไรต่อคัน ยอดขายรถยนต์ทั่วโลกของโตโยต้าจะสูงถึง 10.4 ล้านคัน ในปีงบประมาณ 2025 (เมษายน 2024 ถึงมีนาคม 2025) และกำไรต่อคันจะอยู่ที่ประมาณ 22,900 หยวน (ประมาณ 104,000 บาท) เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว BYD ซึ่งเป็นบริษัทรถยนต์ชั้นนำของจีนมียอดขาย 4.272 ล้านคัน และมีกำไรรวม 40,250 ล้านหยวน โดยมีกำไรต่อคันเพียง 9,400 หยวน (ประมาณ 43,000 บาท)
ปัจจัยใดที่ทำให้โตโยต้ามีกำไรสูง ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมต่างกล่าวว่า โตโยต้าเป็นผู้ผลิตรถยนต์ที่มีกำไรสูงสุดในโลก สาเหตุหลักมาจากศักยภาพด้านการวิจัยและพัฒนาและนวัตกรรมที่แข็งแกร่ง รวมถึงระบบการจัดการห่วงโซ่อุปทานที่มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้โตโยต้ายังมีรถยนต์หลากหลายรุ่นให้เลือกสรรเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่แตกต่างกัน
นอกจากนี้โตโยต้ายังแสดงให้เห็นถึงข้อได้เปรียบที่โดดเด่นในด้านประสิทธิภาพการผลิต การควบคุมต้นทุน การจัดการคุณภาพ ฯลฯ ด้วยการสนับสนุนจากปัจจัยต่างๆ ทำให้สามารถรักษาอัตรากำไรของ โตโยต้าให้อยู่ในระดับสูงได้เป็นเวลานาน
ในความเป็นจริงยอดขายรถยนต์ไฮบริดเพิ่มขึ้นถึง 24.5% ซึ่งเป็นเครื่องยนต์หลักที่ขับเคลื่อนการเติบโตโดยรวมของโตโยต้า
นักวิเคราะห์บางคนชี้ให้เห็นว่า เทคโนโลยีรถยนต์ไฮบริดของโตโยต้าถือเป็นหัวใจสำคัญของกลยุทธ์การใช้พลังงานไฟฟ้า ความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการผลิตรถยนต์ไฮบริด (HEV) ของโตโยต้ายังช่วยวางรากฐานที่มั่นคงสำหรับการวิจัยและพัฒนารถยนต์ไฮบริดแบบปลั๊กอิน (PHEV) และรถยนต์ไฟฟ้าล้วน (EV) อีกด้วย
เหตุผลก็คือรถยนต์ไฮบริดทุกคันมีส่วนประกอบหลักสามส่วน ได้แก่ แบตเตอรี่ มอเตอร์และระบบควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ ความสามารถในการปรับขนาดของเทคโนโลยีนี้ช่วยให้โตโยต้ามีความะยืดหยุ่นมากขึ้นในการปรับกลยุทธ์